เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๒๗ ม.ค. ๒๕๖๑

 

เทศน์เช้า วันที่ ๒๗ มกราคม ๒๕๖๑
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

 

ตั้งใจฟังธรรมะ สัจธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้สร้างสมบุญญาธิการมามหาศาล ถ้าไม่ได้สร้างบุญกุศลมหาศาล องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่มีวาสนาบารมีจะรื้อค้นสัจธรรมอันนี้ขึ้นมาได้

 

เวลาจะรื้อค้นสัจธรรมอันนี้ขึ้นมา พวกเราไปติดตรงนั้นไง แห่พระเวชๆ ตั้งแต่พระเวสสันดรไป องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสร้างสมบุญญาธิการมามาก มีอำนาจวาสนาบารมี เวลามารื้อค้น รื้อค้นสัจธรรมในสัจธรรม ที่ธรรมะมีอยู่โดยดั้งเดิม มีอยู่โดยดั้งเดิมมันมีของเขาอยู่แล้ว สัจธรรมมันมีของเขาอยู่แล้ว แต่คนที่จะไปรู้สัจธรรมอันนี้ คนที่จะมีอำนาจวาสนาไปรื้อค้นสัจธรรมอันนี้มันต้องมีความละเอียดอ่อน มีความละเอียดอ่อนในหัวใจอันนั้นมาก ต้องมีความเข้มแข็งในใจดวงนั้นมาก

 

ฉะนั้น เราไปติดกันที่อำนาจวาสนาบารมี ตอนที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสร้างสมตั้งแต่พระเวสสันดรไปๆ มันเป็นคติมันเป็นแบบอย่างที่เราจะทำ แต่เวลาเราเกิดมาเป็นมนุษย์ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลาสัจธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า การเกิดเป็นมนุษย์เป็นอริยทรัพย์ การเกิดเป็นมนุษย์นี้เป็นอริยทรัพย์ เพราะการเกิดเป็นมนุษย์นะ ในบรรดาสัตว์สองเท้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประเสริฐที่สุด

 

ความประเสริฐนั้นความประเสริฐในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ประเสริฐเพราะหัวใจอันนั้น ประเสริฐเพราะคุณธรรมอันนั้น ไม่ใช่ประเสริฐเพราะว่าเกิดมาแล้วแย่งชิงกันอย่างนี้ ไม่ใช่ประเสริฐอย่างนี้ เวลาประเสริฐ ประเสริฐเพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมแล้ว องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงได้บอกว่าท่านประเสริฐ แต่ตอนที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังไม่ได้ตรัสรู้ธรรมมีแต่ความทุกข์ความยากในใจทั้งนั้นน่ะ มีแต่ความทุกข์ความยากในหัวใจไง

 

แต่เราเกิดเป็นมนุษย์ เกิดเป็นมนุษย์เป็นอริยทรัพย์ เห็นไหม ดูสิ ตั้งแต่เด็กน้อยขึ้นมา ถ้ามันมีความอบอุ่น ชีวิตของเขาจะมีความสุขๆ ไง มีความสุขนะ มันมีค่ากว่าเงินทอง มันมีค่ากว่าสิ่งสมบัติพัสถานทั้งนั้นน่ะ แต่ไม่มีความอบอุ่นในหัวใจ เห็นไหม สิ่งที่มีค่าๆ คือบุญกุศล บุญกุศลคือความสุข ความดีงาม ความพอใจของเรา แต่เวลาสิ่งที่มีชีวิตไง

 

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะเทศนาว่าการ “ภิกษุทั้งหลาย เธอทั้ง ๖๑ องค์พร้อมทั้งเราด้วย พ้นจากบ่วงที่เป็นโลกและบ่วงที่เป็นทิพย์”

 

บ่วงที่เป็นโลก สิ่งที่เป็นโลก โลกธรรม ๘ อยากใหญ่ อยากร่ำอยากรวย อยากต่างๆ นี่บ่วงที่เป็นโลก บ่วงที่เป็นทิพย์ เกิดเป็นสวรรค์ เกิดเป็นพรหม เกิดเป็นอินทร์ นี่บ่วงที่เป็นทิพย์ “เธอทั้งหลายพ้นจากบ่วงที่เป็นโลกและบ่วงที่เป็นทิพย์แล้ว เธออย่าไปซ้อนทางกัน เธออย่าไปซ้อนทางกัน โลกนี้เขาเร่าร้อนนัก เร่าร้อนนัก”

 

เราเกิดเป็นมนุษย์ไง บ่วงที่เป็นโลกกับบ่วงที่ป็นทิพย์ วัฏสงสารมันติดบ่วงไปทั้งนั้นน่ะ ความติดบ่วงอันนั้น เราเกิดมาสิ่งมีชีวิตมันก็ต้องมีปัจจัยเครื่องอาศัย องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าไม่มีเครื่องอาศัย พระบวชมามีบริขาร ๘ นั่นล่ะปัจจัยเครื่องอาศัย ปัจจัยเครื่องอาศัยเพื่อเลี้ยงชีพๆ ไง เราเกิดมาเราก็เลี้ยงชีพ เราต้องมีหน้าที่การงานของเราทั้งนั้นน่ะ ความที่มีหน้าที่การงานของเรานะ ด้วยกิเลสตัณหาความทะยานอยากมันปิดหูปิดตา ทำสิ่งใดประสบความสำเร็จแล้วจะมีความสุขๆ ไง มันมีความสุขเล็กน้อย แต่มีความทุกข์มหาศาลเลย ความทุกข์ ความทุกข์เพราะกิเลสตัณหาความทะยานอยากไม่มีวันอิ่มพอ มันจะล้นฝั่งไปตลอด

 

แต่ถ้าคนมีธรรมๆ ฆราวาสธรรม แม้แต่ฆราวาสธรรม ถ้ามีสัจจะมีความจริงในหัวใจของตน ถ้ามีสติมีปัญญา เราได้สิ่งใดมาเราก็พอใจสิ่งนั้น เราขวยขวาย เรามีความพยายามของเราอยู่ เพราะเราได้สร้างอำนาจวาสนาบารมีมา คำว่า “สร้างอำนาจวาสนาบารมีมา” จิตใจมันคิดไปแง่มุมที่ดีทั้งนั้นน่ะ มันคิดในแง่มุมที่ดี มันมีอำนาจวาสนาบารมี ประสบความสำเร็จ ทำสิ่งใดก็ประสบความสำเร็จ ประสบความสำเร็จแล้วมันก็ไม่มาเผาลนไง

 

มีสุขแค่เล็กน้อย มีความทุกข์มหาศาลนั้นน่ะ มีสุขแค่เล็กน้อย นี่สมบัติของโลก สมบัติของโลกมีความสุขแค่เล็กน้อย แต่ความทุกข์มหาศาลนะ แต่ถ้ามีสติมีปัญญา ความทุกข์อันนั้นมันจะเบาบางลง ความทุกข์อันนั้นจะไม่มีไป

 

แล้วถ้าจะเอาสัจจะเอาความจริง ชีวิตนี้มันคืออะไร ชีวิตนี้ ชีวิตนี้คือไออุ่น คือพลังงาน คือหัวใจเวลาที่มันตายไง เวลาตายไป เราไปส่งกันที่เชิงตะกอน นั่นก็ซากศพเหมือนกันทั้งนั้นน่ะ สิ่งที่ออกไปจากร่างกายนั่นน่ะสิ่งมีชีวิต สิ่งมีชีวิตที่ออกไปจากร่างกายนั่นน่ะ แต่ถ้าเรายังมีชีวิตอยู่นี้ มาเสียสละทาน มาเสียสละทานของเราเพื่อประโยชน์กับเรานะ เพื่ออำนาจวาสนาบารมี เห็นไหม เพราะมันแย่งชิงกันมาระหว่างกิเลสกับธรรมในหัวใจนั่นน่ะ

 

ถ้ามันเป็นธรรมๆ เราฝึกฝนขึ้นมาจนเป็นธรรม คำว่า “เป็นธรรม” มันพร้อมที่จะให้ เห็นคนที่ต่ำต้อย เห็นคนที่อ่อนแอกว่า เราจะช่วยเหลือเจือจานเขา เราจะคุ้มครองดูแลเขา นี่ถ้าใจเป็นธรรม เห็นไหม แต่ถ้าคนมันเป็นกิเลสนะ พอเห็นคนที่ต่ำต้อยอ่อนแอ นั้นคือเหยื่อ นั้นคือผลประโยชน์ นั้นคือการแย่งชิง เอารัดเอาเปรียบเขาทั้งนั้นน่ะ

 

แต่ถ้าคนเป็นธรรม เวลาเรามาทำบุญกุศลของเรา บุญกุศลมันเป็นการแย่งชิงระหว่างกิเลสกับธรรมในหัวใจของเรา ถ้ามันเป็นการแย่งชิงกัน ถ้ามันมีสติมีปัญญา ไม่ต้องไปแย่งชิงกับมัน มันเป็นความคุ้นเคย มันเป็นความอบอุ่น มันเป็นการกระทำที่เราพอใจ เราพอใจ เราพอใจ เห็นไหม

 

เวลาทางโลกเขาเสียดสีกัน คนที่ไปวัดคนที่มีปัญหาทั้งนั้นน่ะ คนที่ไปวัดคนที่มีปัญหาทั้งนั้นน่ะ ไอ้คนที่อยู่บ้านมันเก่งทั้งนั้นน่ะ ไอ้คนที่อยู่บ้าน เห็นไหม

 

โลกนี้ถ้าประสบความสำเร็จ มีสุขเล็กน้อย มีทุกข์มหาศาล เขาอยู่กับความทุกข์ ความทะเยอทะยานอยากในใจของเขา เขาว่าเขายิ่งใหญ่ ไอ้คนที่ไปวัดมีปัญหาทั้งนั้นน่ะ ไอ้คนที่ไปวัดมีปัญหา

 

ไอ้คนที่ไปวัดนั่นล่ะเขาไปวัดหัวใจของเขา เขาไปเทียบเคียงหัวใจของเขา เขารู้จักอุณหภูมิในใจของเขามันสูงหรือมันต่ำ เขาไปคุ้มครองดูแลหัวใจของเขา เขาไปวัดไปวาเพื่อเหตุนั้นไง

 

“ไอ้คนที่มีปัญหาทั้งนั้นน่ะ คนที่มีปัญหาไปวัดไปวา”

 

ไปวัดนั่นน่ะ คนเขาไปวัดอุณหภูมิในใจของเขา ถ้าไปวัดอุณหภูมิในใจของเขา ไปวัดไปวา เราทำบุญกุศลของเรา ความแย่งชิง แย่งชิงคนที่มันไม่เคยไปวัดไปวาเลย สิ่งที่กิเลสในหัวใจมันล้นฝั่ง คนที่ไปวัดไปวามันเริ่มแย่งชิงกันๆ ถ้าแย่งชิงกัน มันเป็นปัญญาสุตมยปัญญา ปัญญาทางโลกๆ เราพยายามส่งเสริม พยายามพัฒนาขึ้นมา นี่สิ่งที่มีคุณค่าๆ คุณค่าของความเป็นมนุษย์นี่ไง

 

ไปส่งกันที่เชิงตะกอน จิตวิญญาณมันไปไหน แต่เวลาคนที่เขาทำบุญกุศลแล้วเป็นทิพย์สมบัติๆ พ้นจากบ่วงที่เป็นโลก ที่เขาเยินยอสรรเสริญ พ้นจากบ่วงที่เขาหัวโขน พ้นจากบ่วงที่เขายกย่องสรรเสริญ พ้นจากบ่วงลูกยอนั่นน่ะ

 

พ้นจากบ่วงที่เป็นทิพย์ๆ เป็นทิพย์ที่ว่าทิพย์สมบัติๆ ที่มันจะได้ มันติดหัวใจนี้ไป ถ้าคนทำบุญกุศล ทิพย์สมบัติมันติดหัวใจนั้นไปไง ไม่ต้องมาเคาะโลง ฉันทำของฉันพอแล้ว ไม่ต้องมาเคาะโลง ไม่ต้องมาเคาะ นี่ถ้าทำ มันมีความพร้อมไป นี่ไง ที่มาวัดมาวา เราทำสิ่งนั้นขึ้นมาเพื่อประโยชน์กับใจดวงนี้ไง

 

ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายิ่งใหญ่นัก ยิ่งใหญ่นัก มันมีตั้งแต่พื้นๆ ขึ้นไปเลย พื้นๆ ก็พวกเรานี่แหละ มันเป็นฆราวาสธรรม ธรรมของฆราวาส ถ้าธรรมของฆราวาสนะ มันมีบุญกุศล

 

สรรพสิ่งในโลกนี้เป็นอนิจจัง เจริญรุ่งเรืองขึ้นไปแล้วก็เสื่อมไปเป็นธรรมดา ในสังคมที่รุ่งเรือง สังคมที่มีน้ำใจต่อกัน ถึงเวลาสูงสุดแล้วมันก็แย่งชิงกัน คนเข้ามายุมาแหย่ มาแบ่งมาแยก มาทำลาย มันเป็นของมันไปอย่างนั้นน่ะ ผลของวัฏฏะๆ เราเกิดในยุคของใครล่ะ

 

เราเกิดมาในยุคของรัชกาลที่ ๙ สังคมร่มเย็นเป็นสุข รอบประเทศไทยเขามีแต่ปัญหาบ้านแตกสาแหรกขาด เราเกิดมาในสังคมในบุญกุศลของรัชกาลที่ ๙ เมืองไทยไม่เคยมีการแบ่งแยกจากภายนอก ไอ้ข้าศึกจากภายใน ไอ้บ่างช่างยุมันก็มีเป็นเรื่องธรรมดาของมัน เราเกิดในยุคของใครล่ะ

 

นี่ไง สังคมที่เจริญรุ่งเรืองขนาดไหนแล้ว สรรพสิ่งในโลกนี้เป็นอนิจจัง ไม่มีสิ่งใดคงที่หรอก เราเห็นบุญของเราไหม นี่แหละบุญกุศลของเรา เกิดในยุคสมัยที่รุ่งเรือง ในยุคสมัยที่ดีงามไง แล้วชีวิตของเราล่ะ ชีวิตของเรา เรามีสติปัญญาสำนึกในชีวิตของเราไหม

 

สิ่งที่เราแสวงหา หน้าที่การงานทั้งนั้นน่ะ นี่ไง บิณฑบาตกลับมาเหงื่อโทรมกายมานี่ บอกปล่อยวางๆ ปล่อยวางอย่างไร เราบิณฑบาตกลับมาเราก็ต้องหาปัจจัยเครื่องอาศัยเหมือนกัน ทุกคน สิ่งมีชีวิตมันต้องดิ้นรนทั้งนั้นน่ะ แต่ดิ้นรนแล้วไม่ใช่ดิ้นรนด้วยความตรอมใจไง

 

ดิ้นรนด้วยความอบอุ่น นี่ไง อริยประเพณี ประเพณีของพระอริยเจ้า ประเพณีขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบิณฑบาตจนวันสุดท้าย วันสุดท้ายจะปรินิพพานยังไปฉันบ้านของนายจุนทะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบิณฑบาตทั้งชีวิต ดูสิ นี่ไง ศาสดาของเรา เห็นไหม บุญกุศลมหาศาลนะ ฤทธิ์เดชนี้ทำได้ทั้งนั้นน่ะ แต่ไม่ทำ สิ่งที่มีคุณค่าที่สุดคือบันลือสีหนาท คือสัจธรรม แสดงธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้พวกเรามีสติมีปัญญาขึ้นมา ถ้ามีสติมีปัญญาขึ้นมา มีขึ้นมาให้เราสำนึกได้ ความสำนึกได้ของคนนะ มีคุณค่ามาก นี่ไง ความอบอุ่นของใจๆ ไง

 

ศีล สมาธิ ปัญญา เราเดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนากัน เราอยากจะประพฤติปฏิบัติ เราอยากแสวงหาสัจจะความจริง พระพุทธศาสนา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากราบธรรมๆ เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรม ตรัสรู้เรื่องอริยสัจ เวลาแสดงธรรมขึ้นมา พระอัญญาโกณฑัญญะมีดวงตาเห็นธรรม พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์

 

พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ พระสงฆ์ไม่ครองศีลครองธรรม พระสงฆ์ไม่มีอัตตสมบัติ พระสงฆ์จะเอาอะไรไปสอนเขา แล้วสิ่งที่จะสอนเขาๆ เราเป็นฆราวาส เราจะประพฤติปฏิบัติ เราจะเอาความจริงของเราขึ้นมา

 

ชีวิตนี้คืออะไร นี่ไง สิ่งที่เวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นมาก็ว้าเหว่ พระเราเวลาบวชแล้วแสวงหาครูบาอาจารย์ขึ้นมา อยากหาครูบาอาจารย์ที่ดี อยากหาครูบาอาจารย์ที่ชี้นำเราได้ ถ้าครูบาอาจารย์ที่ชี้นำเราได้ ที่ไหน บอกมา ขอให้บอกมาเถอะ ทำอย่างไรก็ขอให้บอกมา จะทำให้ได้ๆ แต่มันทำไม่ได้

 

เวลาหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านพยายามชี้นำของท่าน พอชี้นำ ถ้าใครมีอำนาจวาสนาบารมี ท่านคุ้มครองดูแล องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้องค์เดียวเป็นศาสดาสอนทั้ง ๓ โลกธาตุ หลวงปู่มั่นองค์เดียวเป็นอาจารย์ใหญ่ขององค์กรรมฐานเรา ผู้ที่มีบุญคนเดียวเท่านั้นน่ะทำบุญกุศลมหาศาล ท่านให้ประโยชน์มหาศาลในโลกนี้

 

ดูสิ ในหลวงรัชกาลที่ ๙ ตอนนี้เศรษฐกิจพอเพียง เรื่องโครงการในพระราชดำริไปหลายประเทศแล้ว เห็นไหม ถ้ามันเห็นถึงความเป็นไปของชีวิต เห็นถึงความเป็นไปของปัจจัย ๔ ขอให้มีอยู่มีกิน ทำได้ แต่จะร่ำจะรวยจะมหาศาล จะเป็นเศรษฐี ไอ้นั่นมันเพ้อฝัน ความเพ้อฝันนั้นน่ะมันเป็นเรื่องของทุนนิยม นี่ไง ศาสนาทุนนิยมมันก็มีการแข่งขัน อวดดิบอวดดี อวดเนื้ออวดตัว อวดกันไปหมดเลย นี่เธอติดบ่วงที่เป็นโลก นั้นบ่วงที่เป็นโลกรัดคอ

 

ฉะนั้น ถ้าเราไม่ติดบ่วงที่เป็นโลก บ่วงเราก็ไม่ติดมัน เราไม่ใช่บ่าง เราไม่ต้องไปติดบ่วงของใคร เราเป็นมนุษย์ หน้าที่การงานของเรา เราก็ทำ เราทำหน้าที่การงานของเราเพื่อปัจจัยเครื่องอาศัยเพื่อดำรงชีวิตนี้ไว้ ดำรงชีวิตนี้ไว้ แล้วรู้จักชีวิตของตนไง สิ่งที่มีค่าไง เพราะมีชีวิตนี้ถึงได้มีหน้าที่การงาน มียศถาบรรดาศักดิ์ มีทรัพย์สมบัติเพราะมีชีวิต

 

ชีวิตตายลง นั้นเป็นสมบัติสาธารณะ เป็นสมบัติของโลก ไม่ใช่สมบัติของเรา สมบัติของเราคือความดีและความชั่ว สิ่งที่ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว มันจะติดกับจิตดวงนั้นไป ใครจะคัดจะค้าน ใครจะช่วยเหลือเจือจานขนาดไหน ช่วยไม่ได้

 

กรรมจำแนกสัตว์ให้เกิดต่างๆ กัน กรรมยิ่งใหญ่ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังต้องปรินิพพาน พระอานนท์เป็นพระโสดาบันคร่ำครวญถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ข้าพเจ้าก็เป็นแค่พระโสดาบัน ทางเดินข้างหน้ายังอีกมหาศาล ก็อยากจะมีคนชี้นำนะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าต้องปรินิพพานไปแล้ว คร่ำครวญด้วยความเสียใจ แม้แต่พระโสดาบันยังคร่ำครวญเสียใจ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะปรินิพพาน

 

อานนท์ เราบอกเธอแล้วไม่ใช่หรือ เราจะเอาสมบัติของเราไปเท่านั้น สิ่งที่เราบัญญัติไว้ ธรรมวินัยจะเป็นศาสดาของเธอ

 

นี่เป็นพระโสดาบันนะ ยังคร่ำครวญร้องไห้ถึงผู้ชี้นำเลย ไอ้เราเป็นอะไรล่ะ สิ่งที่เราไม่เป็นสิ่งใด แต่เราก็ไม่ไว้ใจใครทั้งสิ้น เราจะประพฤติปฏิบัติ เราก็ไม่กล้าทำสิ่งใดทั้งสิ้น โลกนี้มีแต่ความหลอกลวงทั้งสิ้น เราจะวางใจใครได้ๆ ล่ะ

 

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงสอนกาลามสูตร ให้ประพฤติปฏิบัติขึ้นมา ให้เป็นปัตจัตตัง สันทิฏฐิโก ให้ไปรู้จริงขึ้นมาโดยการกระทำของเราใช่ไหม สิ่งที่ทำขึ้นมาเป็นความจริงของเราหรือไม่ จิตมันสงบจริงหรือไม่ จะมีความสุขจริงหรือไม่ สิ่งที่มีคุณค่าๆ สุขอื่นใดเท่ากับจิตสงบไม่มี

 

เรามีเงินมหาศาล มีหน้าที่การงานใหญ่โต มีความสุขหรือไม่ นี่มีแต่ความร้อนรนไง แต่ถ้ามันตั้งสติขึ้นมา หายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ ถ้าจิตสงบมาแล้ว ความสุขที่เกิดจากภายใน ความสุขที่เกิดจากหัวใจของเรา มันไม่มีใครต้องมาประเคนให้เลย ไม่ต้องมีใครมาแต่งตั้งให้เลย มันเป็นขึ้นมาจากความวิริยอุตสาหะของเรา แล้วมันเป็นขึ้นมามันเป็นมาจากไหนล่ะ มันเป็นมาจากธรรมวินัยที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบัญญัตินี่ไง

 

“อานนท์ ธรรมและวินัยที่เราบัญญัติไว้จะเป็นศาสดาของเธอ” แล้วเราทำตามธรรมและวินัยอันนั้น เราพยายามประพฤติปฏิบัติอันนั้น เราพยายามบังคับจิตใจของเราให้เข้าสู่สัจจะความจริงอันนั้น

 

ถ้ามันเข้าสู่สัจจะความจริงอันนั้น เห็นไหม สติ สมาธิ ปัญญา สติก็สติยับยั้งความรู้สึกนึกคิดอันนี้ ยับยั้งความฟุ้งซ่านอันนี้ ถ้าเกิดสมาธิขึ้นมา ความสุขที่เกิดขึ้นมามันสดๆ ร้อนๆ อกาลิโก ไม่มีกาลไม่มีเวลา ไม่ใช่ ๒,๐๐๐ กว่าปีมาแล้ว ไม่ใช่ไม่มีครูบาอาจารย์ ไม่ใช่สิ่งใดทั้งสิ้น มันเกิดจากการกระทำ เกิดจากเหตุและผล นี่ไง ธรรมทั้งหลายมาแต่เหตุ

 

ธรรมทั้งหลายมาแต่เหตุ เราพยายามสร้างเหตุกัน เราพยายามสร้างสัจจะ สร้างเหตุกัน สร้างสติ เห็นไหม มาทำเพื่อหัวใจของเรา ถ้าเหตุมันสมบูรณ์ ผลมันต้องมาแน่นอน

 

เป็นวิทยาศาสตร์ อันนี้เหตุมันจอมปลอม เหตุมันเหลวไหล เหตุมันมีแต่มายา มารยาสาไถย หลอกกันไปก็หลอกกันมา ไอ้คนหลอกก็หลอกเขา ไอ้คนฟังก็รู้ว่าหลอก ก็อยากจะหลอก เพราะมันเป็นสังคม มันเป็นบ่วง อยากมีเกียรติ อยากเชิดหน้าชูตา นี่ไง ก็หลอกกันไปหลอกกันมา ปัจจัตตังไหม

 

แต่ถ้าทำให้มันเป็นจริงเป็นจังขึ้นมา ถ้าเป็นจริงขึ้นมา ธรรมทั้งหลายมาแต่เหตุ ถ้าเหตุมันสมบูรณ์แล้ว ปัจจัตตัง สันทิฏฐิโก มันจะเกิดขึ้นในใจของเรา

 

ในบรรดาสัตว์ทั้งหลายองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประเสริฐที่สุด เวลาว่าความเกิดเป็นมนุษย์ๆ มนุษย์มีคุณค่ามากนะ มีคุณค่าที่เรายังเห็นหน้ากันอยู่นี่นะ แล้วมันใบไม้ร่วง เราจะต้องพลัดพรากจากกันไป ไม่รู้ว่าใครไปก่อนใครไปหลัง ต้องไปทั้งสิ้น เวลาไปแล้วนั่นล่ะเราถึงจะเห็นคุณค่า เราถึงเสียดายเวลาตรงนั้นไง

 

แต่ตอนที่ใบไม้เต็มต้น ร่มโพธิ์ร่มไทร เราได้อาศัยใบบุญอันนั้น ได้อาศัยร่มโพธิ์อันนั้น เราพยายามสร้างเนื้อสร้างตัวขึ้นมา ร่มโพธิ์ร่มไทรนั้นมีผล มีเมล็ด เราได้เก็บกิน เราได้อาศัยร่มชายคา เราต้องขวนขวาย ถ้าคิดได้อย่างนี้ เห็นแล้วนะ มันจะขวนวขาย

 

เวลาหลวงปู่มั่นท่านนิพพาน หลวงตาท่านขวนขวายมาก พยายามเต็มที่ ถึงที่สุดแล้วหลวงปู่มั่นก็ต้องนิพพานไป หลวงตาท่านต้องขวนขวายพยายามกระทำของท่าน ถึงที่สุดแล้วท่านก็ทำความประสบความสำเร็จของท่านนั้น นั้นพูดถึงการกระทำนะ

 

เราต้องขวนขวาย เรื่องหน้าที่การงานเราทำ สุขเล็กน้อย ทุกข์มหาศาล กับถ้าเราทำความจริง ทุกข์มหาศาลเวลาเร่งความเพียร เวลามันเป็นจริงขึ้นมา สุขจริงๆ นะ สุขจริงๆ ไม่เล็กน้อย สุขจริงๆ แล้วหาที่ไหนล่ะ หาในใจของตน เอวัง